ครั่งสำสา สำสา หรือก้ามปู ชื่อไม้ต้นขนาดใหญ่ เรือนยอดทึบแบนแผ่สาขากว้างใหญ่ จึงให้ร่มเงาได้ดี ช่อดอกเป็นพู่สีชมพูแก่ ฝักแก่สีน้ำตาลไหม้ยาวประมาณ 12 เซนติเมตร มีรสชาติหวาน เป็นไม้ที่นำเข้ามาปลูก เดิมเรียกจามจุรีแดง แต่มักเรียกสั้นๆว่า จามจุรี ทางเหนือเรียก ฉำฉา หรือ สำสา
สรรพคุณของครั่งสำสา
1.รากนำมาต้มน้ำดื่ม รักษาอาการท้องร่วง นำมาฝนทาแผล รักษาแผลอักเสบ เป็นหนอง
2.ฝักหรือผลสุก นำมารับประทาน บำรุงร่างกาย
3.ใบ นำใบสดมาต้มน้ำดื่ม หรือตากแห้ง ใช้ชงเป็นชาดื่ม ช่วยรักษาโรคท้องร่วง
4.เปลือกต้นมีรสฝาด นำมาต้มน้ำดื่ม รักษาโรคท้องเสียท้องร่วง แก้ริดสีดวงทวารหนัก ใช้ฝนหรือบดทา รักษาแผลติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ใช้รักษาแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน นำมาเคี้ยวช่วยลดอาการเหงือกบวมแก้ปวดฟัน
5.เมล็ด มีรสฝาด นำมาต้มน้ำดื่ม รักษาโรคท้องเสีย ท้องร่วง ใช้ฝนหรือบดทารักษาแผล แผลติดเชื้อ แผลเป็นหนอง ใช้รักษาแก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน
ครั่งคืออะไรแล้วมีประโยชน์อย่างไร ครั่งนั้นคือแมลงจำพวกเพลี้ย ถือว่าเป็นแมลงที่เป็นศัตรูต่อพืชตามธรรมชาติ ที่จะใช้งวงปากเจาะเพื่อดูดน้ำเลี้ยงของต้นไม้ ประเภทไม้เนื้อแข็ง แต่กลับเป็นแมลงที่มีประโยชน์ต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก นับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน
ครั่งจะขับสารชนิดหนึ่งซึ่งมีลักษณะเป็นเหมือนยางหรือชันออกมาไว้ป้องกันตัวเองจากศัตรู ซึ่งสารที่ขับถ่ายออกมานี้ เรียกว่าครั่งดิบ ตามชื่อเรียกสารนี้มีสีแดงม่วง ลักษณะคล้ายขี้ผึ้งสีเหลืองแก่ หรือ ยางสีส้ม ซึ่งมนุษย์ได้นำมาใช้ประโยชน์กันมานานกว่า 4000 ปีแล้ว
ในหลายอารยธรรม ใช้ครั่งเป็นสมุนไพร เป็นยารักษาโรคโลหิตจาง โรคลมขัดข้อ เป็นต้น นอกจากนี้ยังนำไปใช้ในอุตสาหกรรม การทำ เชลแล็ก แล็กเกอร์ เครื่องใช้ เครื่องประดับต่างๆ ย้อมสีผ้า สีโลหะ หรือผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนใช้ประทับในการไปรษณีย์ ขนส่ง หรือตราประทับเอกสารทางราชการใดๆอีกด้วย ปัจจุบันครั่งเป็นสินค้าส่งออกที่สำคัญ ของหลายๆประเทศ อาทิ อินเดีย สหรัฐอเมริกา และจีน ในประเทศไทยมีการเลี้ยงในเชิงเกษตร มีราคาขายที่แพงมากๆ
ครั่งสำสา ข้าพเจ้าผู้เขียน(นายอนุรักษ์) ตั้งแต่เกิดมาจำความได้ ก็ได้เห็นต้นสำสาต้นนี้อยู่ ณ ริมท่าน้ำหลังบ้านของข้าพเจ้า ว่ามันได้เติบใหญ่ ให้ความร่มรื่นชื่นตาแก่ข้าพเจ้าผู้เขียนเป็นอย่างมาก แถมเป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้คนทุกๆคนที่ได้มาอาบน้ำท่านี้กันทุกๆคน สืบเนื่องจากสมัยนั้น ณ หมู่บ้านของข้าพเจ้าผู้เขียน ยังไม่มีน้ำปะปาเข้าถึง ภายในหมู่บ้านมีก็เพียงแค่ บ่อน้ำใต้ดิน และ บ่อโยก แต่ดีนะที่ยังมีแม่น้ำน่าน ที่ให้ใช้อุปโภคบริโภค เพียงเท่านั้น
บ่อน้า บ่อโยก มีไม่เพียงพอต่อความต้องการของจำนวนประชากรของผู้คนในหมู่บ้าน ซึ่งมีหลายๆชีวิต หลายๆครอบครัว ของผู้คนทั้งหลายเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่ต้องการน้ำมาเป็นเครื่องอุปโภคและบริโภคกันทั้งสิ้น ผู้คนส่วนใหญ่จึงได้ใช้น้ำในแม่น้ำน่าน มาใช้ในชีวิตประจำวัน กันทุกวี่ทุกวัน อีทั้งผู้คนก็มากหน้าหลายตา ต่างก็เดินขึ้นลง ตลิ่งท่าน้ำกันทั้งเช้าทั้งเย็น ทั้งมาอาบน้ำ มาซักผ้า และยักมาตักน้ำในแม่น้ำแห่งนี้ขึ้นไปใส่ไว้ในโอ่งในตุ่มที่บ้านของตัวเองกันทุกๆครัวเรือน การตักน้ำในสมัยนั้นจะนิยมใช้คุถังที่เป็นแผ่นเหล็กสังกะสีมาตักน้ำในแม่น้ำแล้วทำการหาบน้ำโดยการใช้ไม้คานมาหาบน้ำเพื่อเป็นเครื่องทุ่นแรงในการหิ้วน้ำ เพื่อนำน้ำกลับไปใช้สอยที่บ้านใครบ้านมัน
โดยเฉพาะหนุ่มๆสาวๆ จะถูกพ่อแม่ผู้ปกครอง ท่านใช้ให้มาหาบน้ำไปใส่โอ่งใส่ตุ่มที่บ้านใครบ้านมันกันทุกๆวัน ถึงกับขนาดมีคนรับจ้างหาบน้ำกันเลยทีเดียวล่ะครับ แต่ก็มีสาวๆหัวใสบางคนหลอกใช้หนุ่มๆในหมู่บ้านมาหาบน้ำให้แทนครับ ตัวผู้เขียนเองเห็นอยู่เป็นประจำ หนุ่มๆบางคนก็เต็มใจที่จะหาบน้ำให้หญิงสาวฟรีๆเพียงเราะว่าเกิดความรักชอบสาวคนนั้นนั่นเอง และต้นสำสาใหญ่ต้นนี้ที่อยู่ริมท่าน้ำแห่งนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของครั่งสำสาล่ะครับท่านผู้อ่านครั่งสำสา เหมาะแก่พวกเจ้าชู้หูดำ สายสำ สายสี้ สายปี้ สายเด้า และยังสามารถใช้ได้ทุกเพศทุกวัยอีกด้วย
การสร้าง สร้างจากการเสกครั่ง เลี้ยงครั่งไว้ที่ต้นสำสา โดยตาบุญล้ำมหาเสน่ห์ ตาบุญล้ำท่านได้กล่าวไว้ว่า ต้นสำสาต้นนี้มีเพชรพญาธร สถิตอยู่ เหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะเลี้ยงครั่งไว้ทำเสน่ห์ ท่านจึงได้ทำการเลือกเฟ้นหาพันธุ์ครั่งที่ดีมาทำพิธีปลุกเสกครั่งในวันจันทร์ข้างขึ้นเท่านั้น ประการหนึ่งที่สำคัญคือ คาถาเสกน้ำรด เวลารดน้ำก็นับว่าสำคัญเป็นอย่างมาก ถือว่าเป็นจุดตายกันเลยทีเดียวครับ เพราะว่าครั่งกับต้นสำสาไม่มีคาถากำกับ มันก็ไม่ต่างอะไรกับครั่งและต้นสำสาธรรมดาๆต้นหนึ่งแหละครับ อิทธิคุณ อิทธิฤทธิ์ก็จะไม่เท่าไม่เท่าต้นไม้ที่เจ้าของดูแลเอาใจใส่ เพราะก่อนที่จะทำการเลี้ยงครั่งนั้น
ตาบุญล้ำท่านได้ทำการเสกน้ำรดต้นสำสาต้นนี้ทุกๆวันมาเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 50 ปีมาแล้ว ตั้งแต่ผู้เขียนจำความได้ อีกทั้งยังได้เคยเสกน้ำรดต้นสำสานี้ร่วมกับตาบุญล้ำอีกด้วย แทบจะทุกๆวันเสียด้วยซ้ำ ในเวลาขณะที่ลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำเป็นประจำ บางวันเสกด้วยพระเจ้าห้าพระองค์ บางวันเสกด้วยคาถาคัดกาม บางวันเสกด้วยคาถาเล่นสาว บางวันเสกด้วยคาถามหาละลวย บางวันเสกด้วยคาถามหาเสน่ห์ และ คาถามหานิยม (เนื่องจากผู้เขียนได้เคยถามตาว่าควรใช้คาถาบทใดเสกน้ำรดต้นสำสาดี ตาบุญล้ำได้พูดกับผู้เขียนว่า แล้วแต่มึง มึงจะใช้บทไหนก็ได้) แต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจยิ่งนัก สำหรับผู้เขียนเองว่าทำไมบริเวณต้นสำสาต้นนี้ ได้เป็นจุดนัดพบของบรรดาหนุ่มๆสาวๆเสมอๆ
ในวัยเด็กผู้เขียนก็เพียงคิดไปเองว่ามันเป็นท่าน้ำที่ให้ความร่มรื่นและมีต้นสำสาคอยให้ความร่มเงา และมันก็เงียบสงบดีก็เท่านั้น(มันเป็นความคิดแบบเด็กๆของผู้เขียนเอง) แต่ที่ไหนได้จากที่เป็นจุดนัดพบ กลับกลายมาเป็นจุดพลอดรักของหนุ่มๆสาวๆ ณ บริเวณใต้ต้นสำสาแห่งนี้อีกทั้งผู้คนมากหน้าหลายตายังมาพลอดรักกัน ณ ที่แห่งนี้ แล้วเกิดได้เสียเป็นผัวเมียกัน หลายต่อหลายคู่แล้วที่บริเวณต้นสำสาต้นนี้ หนุ่มสาวบางคู่ที่ได้เสียกันผู้เขียนยังได้เห็นกับตาตัวเองเลย เห็นจะจะเต็มสองตาได้ยินเต็มสองหู เรียกได้ว่าดูหนังสดๆเลยแหละครับ
ถ้าเป็นสมัยนี้ผู้เขียนจะทำการบันทึกวีดีโอคลิปไว้อย่างแน่นอนทีเดียวเชียวแหละครับแต่ตอนนั้นผู้เขียนเองอายุยังน้อยยังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาเอง เมื่อเห็นดังนั้นผู้เขียนจึงรีบวิ่งไปเล่าให้ตาบุญล้ำฟัง ตาบุญล้ำก็ได้แต่หัวเราะชอบอกชอบใจแล้วพูดกับผู้เขียนว่า มึงเพิ่งจะรู้เหรอ 555….เสียงตาบุญล้ำแกหัวเราะแล้วตาบุญล้ำก็ได้พูดขึ้นมาว่ากูรู้มานานนมแล้ว ครั้นเมื่อผู้เขียนเรียนอยู่ชั้น ปวช.แผนกช่างยนต์ ปี1 ผู้เขียนจึงได้ถึงบางอ้อ เพราะว่าสมัยนั้นหนุ่มสาวไม่นิยมใช้ถุงยางอนามัยคุมกำเนิดกันหรอกมั้ง ขนาดผู้เขียนเองยังไม่ใช้เลย อิอิ......จริงๆนะ
ช่วงเวลานั้นยาคุมฉุกเฉิน HIT HOT สุดๆ ยาคุมยี่ห้อ โพตินอร์จะนิยมสุดๆในสมัยนั้นเจ้าของร้านขายยายังบอกกับผู้เขียนว่ายาคุมยี่ห้อนี้ขายดีมาก บางร้านหมดเกลี้ยงเลยทีเดียวเชียวแหละ อ่าวๆอย่านอกเรื่อง มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า มีอยู่วันหนึ่งผู้เขียนไม่ได้ไปเรียนหนังสือมันเกิดความเพลียเลยตื่นสาย จึงได้ขาดเรียนไปหนึ่งวันโดยปริยายและช่วงเวลาบ่ายของวันนั้นเองผู้เขียนก็ได้ลงมาตกปลาที่ท่าน้ำหลังบ้านของผู้เขียนเองแต่ได้ไปเหวี่ยงเบ็ดตกปลาอยู่ท่าข้างๆห่างจากต้นสำสาที่เลี้ยงครั่งไว้ไม่ถึง10เมตรและทันใดนั้นเองผู้เขียนก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์ได้ขี่เข้ามายังคลองข้างบ้านของผู้เขียนเองคนขี่ได้จอดรถไว้บนตลิ่ง ผู้เขียนก็ได้เห็นว่ามีนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือลงตลิ่ง(บันไดของท่าน้ำ)มานั่งเล่นที่ใต้ต้นสำสานักเรียนหญิงนุ่งกระโปรงบานอย่างกะสุ่มไก่ครอบมาเชียว ผู้เขียนคิดเอาเองว่านัดเรียนอาชีวะคู่นี้คงหนีเรียนมาเป็นแน่แท้ คิดว่ามันจะมาตกปลาซะอีก
พ.ศ.นั้นจะนิยมตกปลากันมากๆครับด้วยเบ็ดฝรั่ง โดยเฉพาะวันเสาร์-อาทิตย์จะมีคนมาตกปลากันเต็มไปหมด แต่นักเรียนอาชีวะกระโปรงบานมันไม่ได้มาตกปลากันน่ะสิครับ เพราะผู้เขียนไม่เห็นว่ามันถือคัดเบ็ดลงตลิ่งมาเลย แต่จูงมือกันเดินลงมาเฉยๆ ช่วงเวลากลางวันผู้คนมักนิยมไปทำไร่ทำนากันหมด ส่วนคนแก่คนเฒ่าก็จะอยู่เลี้ยงหลาน บ้างก็อยู่เฝ้าบ้านกันไม่มีคนลงมาท่าน้ำหรอกครับ จะมีมาก็แต่นักเรียนอาชีวะกระโปรงบานๆกับหนุ่มกางเกงขายาวคนนี้นี่แหละ ลงมาจากตลิ่งก็มานั่งที่ใต้ต้นสำสาที่ตาบุญล้ำได้เลี้ยงครั่งเอาไว้ ผู้เขียนเองก็ได้ทำการซุ่มดูอยู่พักหนึ่งถึงปลาจะกินเบ็ดกูก็ไม่สนใจแล้ว คู่รักนักเรียนอาชีวะก็ได้บรรเลงเพลงรักเพลงสวาทผู้ชายมันตกเบ็ดให้ผู้หญิงแล้วเวลานี้ควักล้วงจกจูบกันเป็นพัลวันล่ะทีนี้ไอ้หนุ่มนักเรียนนั้นมันตกเบ็ด
ส่วนตัวผู้เขียนนั้นตกปลา 5555….ทั้งสองคนนั้นไม่ได้ถอดเสื้อผ้าได้เพียงแค่ถลกกระโปรงขึ้นมาก็เป็นอันใช้ได้ ฝ่ายชายก็บรรเลงเพลงรักเพลงสวาทอยู่บนตัวผู้หญิง และแล้วผู้เขียนก็ได้ดูหนังสดๆอีกแล้ว 555…..แต่แล้วทันใดนั้นเองผู้เขียนก็นึกขึ้นได้ว่า ตาบุญล้ำได้เคยบอกกับผู้เขียนไว้ว่าหากได้เห็นคนสมสู่กันที่ใต้ต้นสำสานี้ก็ให้ตั้งนะโม3จบแล้วให้ท่องภวนาคาถาคัดกาม ให้ภาวนาไปเรื่อยๆจนกว่าหญิงชายคู่นั้นจะเสร็จกิจ ผู้เขียนก็ได้ปฎิบัติตามโดยเคร่งครัด ผู้เขียนได้ภวนาคาถาคัดกามได้ไม่ทันจะถึงสามนาทีเลยคู่รักนักเรียนอาชีวะน้ำแตกซะละ ผู้เขียนจึงหยุดภาวนาคาถาโดยพลัน แล้วดูนักเรียนหญิงใช้กระดาษทิดชู่เช็ดทำความสะอาดคราบน้ำกามคราบน้ำรักน้ำสวาทออกจากหว่างขาของตัวเองแล้วก็โยนกระดาษทิดชู่ทิ้งไว้บริเวณใต้ต้นสำสานั้น พร้อม
กับลุกขึ้นยืนใส่กางเกงในแล้วเอามือปัดตูดจูงมือกันเดินขึ้นตลิ่งแล้วสตาร์ทรถมอเตอร์ไซค์ขี่กลับบ้านจ้อย ดินบริเวณนี้เป็นดินร่วนปนทรายนั่งนอนลงไปถึงจะเปื้อนก็ปัดออก ส่วนในแม่น้ำนั้นเป็นดินเหนียวครับและทันใดนั้นเองฝนก็ดันเสือกตกลงมาเฉยเลยตกหนักเสียด้วยผู้เขียนก็รีบวิ่งไปเก็บเบ็ดฝรั่งและถังใส่เหยื่อโดยเร็วพลันเกรงว่าเหยื่อตกปลานั้นมันจะเปียกน้ำแล้วผู้เขียนก็ได้วิ่งถือกันเบ็ดกับถังใส่เหยื่อตกปลาวิ่งมาหลบฝนที่ใต้ต้นสำสาทันทีที่ได้นั่งลงหลบฝนผู้เขียนเองก็ได้เห็นทิดชู่ที่นักเรียนสาวอาชีวะเช็ดทำความสะอาดคราบน้ำรักน้ำสวาทได้ถูกน้ำฝนตกใส่จนเปียกแฉะหมด(แม่งเสียดายฉิบหายกูมาเก็บทิดชู่เปื้อนคราบน้ำกามไม่ทันโครตเสียดายเลยว่ะกะว่าจะเอามาทำสีผึ้งสายล่างสักหน่อยควยเอ๊ย!!!!!พลาดแล้วกู)ผู้เขียนนั่งบ่นพึมพำกับตัวเองทั้งที่ตัวเองก็เปียกฝนไปด้วย ต้นสำสามันไม่คุ้มฝนเอาเสียเลยห่ามึงนี่ จากนั้นผู้เขียนก็ได้นั่งพิจารณาน้ำฝนตกใส่กระดาษทิดชู่ที่นักเรียนหญิงได้ทิ้งเอาไว้ให้ดูต่างหน้า
ผู้เขียนพิจารณาทำไมน่ะหรือ ก็ทิดชู่ที่มันเปื้อนคราบรักคราบสวาทของหนุ่มสาวอาชีวะเมื่อมันได้ถูกน้ำฝนก็จะซึมซับลงสู่ดินทันทีซึ่งนั่นก็หมายความว่า มันก็จะไปเป็นปุ๋ยไปเป็นอาหารให้แก่รากของต้นสำสาเมื่อรากดูดน้ำรักน้ำสวาทของคู่หนุ่มสาวทั้งสองคนนี้ขึ้นไปหล่อเลี้ยง ราก ลำต้น กิ่ง ก้าน ใบ ดอก และฝัก ของต้นสำสาต้นนี้อย่างเป็นแน่แท้ จากนั้นตัวครั่งเองก็จะใช้งวงปาก จะงอยปากเจาะที่กิ่งต้นสำสาเพื่อดูดกินน้ำเลี้ยงของต้นสำสาเพื่อให้ได้ออกมาเป็นก้อนขี้ครั่งดิบนั่นเอง (แล้วที่ผ่านมาต้นสำสาต้นนี้ได้ดูดซับคราบน้ำกามของใครต่อใครมานักต่อนักแล้วล่ะ) ถึงว่ามันจึงได้มีความพิเศษในตัวของมันเอง ข้อนี้ผู้เขียนคิดเอาเองเมื่อฝนได้หยุดตกแล้ว ผู้เขียนก็ได้ถือคัดเบ็ดและถังใส่เหยื่อเดินขึ้นตลิ่งกลับบ้านไปผู้เขียนก็ได้เล่าเรื่องราวทุกอย่างที่เห็น ทุกอย่างที่เป็นของนักเรียนอาชีวะที่ได้มาสมสู่กันที่ใต้ต้นสำสา แล้วฝนตกลงมาชะล้างน้ำรักน้ำสวาทของนักเรียนอาชีวะทั้งสองลงดิน ไปเป็นปุ๋ยเพื่อหล่อเลี้ยงต้นสำสาต่อไป ให้ตาบุญล้ำได้ฟัง ตาบุญล้ำจึงพูดขึ้นมาว่าอยู่มาตั้งนานเพิ่งจะคิดได้เน๊าะ
พูดได้ถูกต้องเสียด้วย
*อนึ่งผู้เขียนเองก็ได้สังเกตเห็นว่า ต้นสำสาต้นนี้มันมีเสน่ห์ในตัวมันเองจริงๆเน๊าะ หรือจะเป็นด้วยมนต์ตราคาถาอาคมที่เสกกำกับที่น้ำรดด้วยหรือเปล่านะ แต่ก็ช่างเถอะ มันสามารถดึงดูดหนุ่มสาว ชายหญิงให้มาสมสู่กันตั้งหลายคู่ทั้งที่เห็นและไม่เห็นกับตาตัวเอง ถึงแม้ขนาดชายไม่สมประกอบทั้งสองคนยังมาช่วยกันสำเร็จความใคร่ที่ใต้
ต้นสำสาแห่งนี้เลย อันนี้ผู้เขียนเห็นกับตาตัวเองเลยครับเห็นกันหลายคนเสียด้วยกับเพื่อนๆผู้เขียนอีก 4-5 คน นั้นผู้เขียนจึงถือว่า ต้นสำสาต้นนี้มันเป็นต้นไม้ที่ดึงดูดกามตัณหาราคะได้ดีจริงๆครับ ต้นไม้ต้นนี้ ณ เวลานี้ผู้เขียนยังนึกอยากจะได้กิ่งสำสาต้นนี้มาทำปลัดขิกสักชุดเลยล่ะครับ555…..คิดดูสิ ขนาดเพื่อนของผู้เขียนเองยังได้เสียกันกับหญิงสาวที่ใต้ต้นสำสาต้นนี้เลยล่ะครับ เรื่องนี้ในกลุ่มของเด็กๆรุ่นราวคราวเดียวกันเขารู้กันทั้งหมู่บ้าน เอาดิเอาดิ.....แต่มีอยู่วันหนึ่งเมื่อตาบุญล้ำได้กลับมาจากการไปหาปลาที่ทุ่งกะโล่กลับมาถึงบ้านก็ใกล้ค่ำตะวันจวนจะตกดินแล้ว เนื้อตัวแกก็เปื้อนมอมแมมดินโคลนอีกด้วย
ตาบุญล้ำก็ได้ชวนผู้เขียนลงไปอาบน้ำที่ท่าน้ำและได้พากันมุ่งหน้าเดินลงตลิ่งไปยังท่าน้ำทันทีผู้เขียนก็ได้เห็นว่ามีเรือจอดอยู่ที่ริมท่าและได้พบกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้หนึ่ง นั่งอยู่ที่ใต้ต้นสำสา ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่รู้จักชื่อของชายหนุ่มผู้นี้เลย ตาบุญล้ำแกก็ได้เอ่ยปากถามไปว่า มานั่งคอยใครเล่าพ่อหนุ่มนี่มันใกล้จะค่ำแล้วนะ ชายหนุ่มได้ตอบกลับมาว่า ผมมานั่งคอยสาวครับตา สาวนัดผมไว้ทีนี่ ชายหนุ่มว่างั้น แล้วตาบุญล้ำก็ได้พูดขึ้นมาว่า ถ้าเขามาก็”สำสา” ชายผู้นั้นก็ได้แต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
*คำว่า”สำ”เป็นภาษาเหนือ หมายถึง การร่วมเพศ ร่วมประเวณี สำ สี้ ปี้ เด้า
*นี่แหละคือที่มาของ”คลั่งสำหี” (ครั่งสำสา) แต่ผู้เขียนมาเรียกเองว่า “คลั่งสำหี”
ส่วนในเรื่องของการเก็บครั่งนั้น ตาบุญล้ำจะเก็บครั่งในเดือนธันวาคม จะบอกกล่าวพลีเอาครั่งโดยการใช้หมากใช้พลูสามคำ โดยจะใช้ไม้ตะขอเคียวเกี่ยวเอา ทั้งที่ผู้เขียนเองอาสาจะขึ้นเอามีดฟันกิ่งเพื่อเก็บครั่งแต่ตาบุญล้ำได้ห้าผู้เขียนไว้ว่าห้าขึ้นไปฟันเด็ดขาด ผู้เขียนก็ไม่ได้ถามต่อว่าเป็นเพราะเหตุอันใดจึงห้าขึ้นไปฟันกิ่งสำสาเพื่อที่จะเอาครั่งก็มิทราบสาเหตุได้ ผู้เขียนเองก็ได้แต่คิดว่า คงเป็นเคล็ดวิชาในการเก็บครั่งกระมัง จึงมิได้ถามตาบุญล้ำ เพราะเกรงแกจะเอ็ดผู้เขียนเอา การเลี้ยงครั่งแต่ละปีนั้นจะได้จำนวนครั่งไม่มากนัก ได้มาเพียงน้อยนิดเท่านั้น ตาบุญล้ำได้บอกกับผู้เขียนว่า “ของดีต้องมีเพียงน้อยนิดเท่านั้น”อาจเป็นเพราะการเสกครั่งก่อนการเลี้ยงก็เป็นได้ ข้อนี้ผู้เขียนคิดเอาเองนะไม่ได้ถามตาบุญล้ำเหมือนกัน จากนั้นตาบุญล้ำก็จะทำการเลาะ
เอาครั่งออกจากกิ่งสำสา แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง ส่วนวิธีกาปลุกเสกครั่งสำสานั้น ตาบุญล้ำท่านได้ทำการปลุกเสกครั่งสำสาด้วยมนต์ พระเพชรพญาธร และมนต์มหาละลวย น้อย-ใหญ่ ทำการผูกด้วยมนต์ผูกจิตมนต์ผูกใจ แต่ส่วนผสมของครั่งสำสาในขวดแก้วนี้ จะมีส่วนผสมของผง ช้างประสมโขลง,ผงชูรสชูรัก,ผงราคะ,ผงมหาละลวย,ผงมหานิยม,ผงเสน่ห์ เป็นต้น ได้ผ่านพิธีปลุกเสกมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนทำได้ยากยิ่งนัก ไม่ใช่ว่าจะทำกันได้ง่ายๆ ซึ่งจะต้องมีการเลือกวันปลูกว่านต่างๆ ซึ่งก็คือ ฤกษ์ในการปลูกว่านนั่นเอง พร้อมทั้งการเสกน้ำรดว่านยามเช้าทุกๆวันอีกด้วย
ครั่งสำสาในขวดแก้วนี้ ตาบุญล้ำท่านได้สร้างมาจากว่านล้วนๆ ไม่มีผี,ไม่มีพรายใดๆเจือปนทั้งสิ้นเมื่อนำไปใช้แล้วไม่มีเข้าตัว เปรียบได้ดังเสมือนผงยาแฝด เหมือนดั่งยาสั่ง ใช้แล้วไม่ทำให้ใครตาย มีแต่จะยิ่งหลงรักเรา หลงใหลในตัวเรา หลงใหลในคำวาจาเรา อาลัยอาวรณ์เราก็เท่านั้น
วิธีการใช้
ท่านว่าให้ใส่ในน้ำ,ใส่ในอาหาร,ใส่ในต้มยำทำแกงได้หมดแล้วแต่คนที่นำไปใช้จะสะดวกแบบไหน ใส่ให้ผู้ที่เราปรารถนานั้นได้กิน ผงครั่งสำสานี้เข้าไป จะใส่ในโอ่งน้ำกินก็ดีจะทำให้คนที่กินน้ำในโอ่งนี้รักเราทั้งบ้านกันเลยเชียว จะใส่ลงไปในบ่อน้ำก็ดี ใส่ให้คนที่เกลียดชังเรากินเขาก็จะหายโกรธหายเกลียดเรา และรักเราห่วงใยเราเป็นมิตรที่ดีกับเรา ตาบุญล้ำท่านได้กล่าวกับผู้เขียนไว้ว่า ขอเพียงเราตั้งมั่นถือมั่น ใช้เอาเถิดบังเกิดผลอย่างแน่นอน ส่วนในเรื่องของคาถาที่ใช้เสกกำกับ ครั่งสำสานั้น ตาบุญล้ำท่านว่า จะใช้ก็ดี ไม่ใช้ก็ได้ เพราะท่านว่าท่านเสกมาดีแล้ว
ตั้งนะโม 3 จบ
โอมหลงมหาหลง หลงทั้งกิ่งหลงทั้งก้าน หลงทั้งรากหลงทั้งใบ หลงทั้งจิตหลงทั้งใจ กูจะลองช้างช้างก็อ่อนงา กูจะลองปลาปลาก็อ่อนเงี่ยง กูจะลองสาวน้อยเนื้อเกลี้ยงก็อ่อนใจ คนเห็นหน้ากูน้ำตาตก นกเห็นหน้ากูน้ำตาไหล ทนเห็นหน้าดูอยู่บ่มิได้ ร้องไห้มาหากู เอหิจิตตังปิยังมะมะ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ พุทโธละลวย ธัมโมละลวย สังโฆละลวยด้วยสุนักขัตตัง ตัวกูนี่ฤๅคือทัพพะนาคา อาคะชาหิ
*ก่อนจะใส่ครั่งสำสา ในน้ำ ในอาหาร ในเครื่องดื่ม จะต้อง ตั้งจิตให้มั่น ถือจิตให้มั่น และ ท่านให้ว่าคาถาเพียง 1 จบ แล้วทำการใส่ได้เลย
*หากว่าไม่ใส่น้ำและอาหารเพียงแค่พกพาพุทธคุณของครั่งสำสานั้นก็ครอบจักวาลแล้ว จัดว่าดีทุกๆด้าน