ภาพการปลุกเสกขุนแผนพราย 65 ได้รับความเมตตาจาก หลวงปู่โจเขี้ยวแก้ว วิชาอาคมพลังจิตการเสกของต้องยกให้ท่านเลยครับในเขตอีสานใต้เสกได้ขลังสุดยอด อธิษฐานจิตนานเกือบชั่วโมง
#ประวัติหลวงปู่สมัยเขี้ยวแก้ววาจาสิทธิ์ (โจ)
หลวงปู่สมัย สิริปัญโญ มีชื่อเดิมว่า สมัย ดาศรี ชื่อเล่นท่านมีชื่อว่าโจ มีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่ บ้านสวายน้อย ต.บุแกรง อ.จอมพระ จ.สุรินทร์ ท่านมีพี่น้องทั้งหมดร่วมกัน6คน หลวงปู่สมัยท่านเป็นบุตรคนโต เกิดวันที่1ธันวาคม พ.ศ 2491 วันศุกร์ ขึ้น1ค่ำเดือนอ้าย(1) ปีชวด. บิดาของท่านเป็นหมอธรรมที่โด่งดังมากเรื่องช่วยเหลือผู้ที่โดนของถูกคุณไสย์ ในอำเภอจอมพระเป็นที่พึ่งของชาวบ้านแถบนั้นเลยก็ว่าได้ในสมัยนั้น ชีวิตในวัยเยาว์ของหลวงปู่นับได้ว่าเป็นเด็กที่ค่อนข้างแปลกไม่เหมือนเด็กๆทั่วไป เพราะท่านไม่สนใจเรื่องเที่ยวเล่นแบบเด็กปกติ กลับสนใจแต่เรื่องวิชาอาคมเร้นลับต่างๆนานา เรื่องราวของเหล่าเทพดาบสฤาษีนักบวช ทุกครั้งที่โดนดุโดนด่าหรือโดนตีท่านก็จะวิ่งออกไปที่สระน้ำแถวนอกหมู่บ้าน ไปนำเอาดินเหนียวมาปั้นเป็นรูปพระพุทธรูปบ้างรูปเทวดาบ้างหรือไม่ก็ฤๅษี พออารมณ์ดีขึ้นแล้วถึงจะกลับเข้าบ้าน ท่านได้ศึกษาและร่ำเรียนคาถาเรียนธรรมกับบิดาของท่าน ถือว่าท่านเป็นคนไม่ยอมคน พูดๆง่ายๆนักเลงเก่า ท่านบอกท่านไม่เคยไปหาเรื่องใครก่อน มีจิตใจเมตตาชอบช่วยเหลือเพื่อนๆและผู้ใดที่โดนรังแก
ต่อมาเมื่อช่วงปี พ.ศ 2513 ความสนใจในศาสตร์เร้นลับของท่านมากขึ้นจนทนอยู่กับผู้คนทั่วไปได้ยาก พิจารณาอยู่หลายวันท่านจึงตัดสินใจ นุ่งขาวและเอาจริงเอาจัง ท่านเที่ยวศึกษาร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆที่ได้ยินว่าที่ไหนดีที่ไหนดัง และทำไห้ท่านได้ร่ำเรียนวิชาเกี่ยวกับเส้นสายลายยันต์สายพ่อแก่ในช่วงเวลานี้เอง
#แต่ถึงกระนั้นท่านก็รู้สึกว่ายังไม่เจอสิ่งที่ตนต้องการ ท่านจึงได้ตัดสินใจบวช เป็พระภิกษุ(บวชในครั้งแรกปี2513) และได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเขาช่องกระจก จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในระหว่างที่จำพรรษาอยู่นั้นหลวงปู่ได้พยายามฝึกฝนบำเพ็ญอย่างหนักโดยไม่มีใครสอน การฝึกโดยไม่รู้ทิศทาง ท่านเคร่งสมาธิจิตเพ่งกสินหนักเกินไป จนเกิดอาการปวดร้าวดวงตาเหมือนตาจะบอด รวมถึงเส้นสายตามตัวก็ปวดร้าวจนเกินจะทน ทรมารแสนสาหัสในขณะนั้น(ในปี2514-15ซึ่งอยู่ในพรรษาที่2)#เมื่อเกิดอาการเช่นนั้นหลวงปู่จึงพิจารณาว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงไร้ประโยชน์ จึงได้ตัดสินใจลาสิกขาเพื่อไปรักษาอาการที่เกิดขึ้นอยู่ ในขณะนั้น
และในช่วงที่ท่านได้ลาสิกขาออกมานั้น ท่านก็มานุ่งขาวเช่นเดิม และได้แต่งงานมีครอบครัว. มีบุตร2คน#ในช่วงนี้เองท่านได้เริ่มเอาจริงเอาจังตามแนวสายวิชาที่ได้ร่ำเรียนมาจากทั่วสารทิศทุกรูปแบบเลยก็ว่าได้ แล้วท่านหันมาสักเสกเลขยันต์ไห้เหล่าบรรรดาลูกศิษย์ทั้งหลาย (โด่งดังสายพ่อแก่ในขณะนี้ทั้งในและต่างประเทศหลายท่านด้วยกันที่เป็นศิษย์ท่าน)
#อยู่แถวเขตปากน้ำสำโรงภาษีเจริญ และปทุมธานี#ในช่วงประมาราวปี2520-28นี้เองที่ท่านค่อนข้างมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในขณะนั้นเพราะลายสักของท่านอัดแน่นไปด้วยความเข้มขลังอย่างมาก#ต่อมาในปี พ.ศ 2535-36 หลวงปู่ก็ต้องพบกับสิ่งที่ทำไห้ตนไม่สามารถทนรับได้ เมื่อท่านต้องสูญเสียลูกชายอันเป็นที่รักไปอย่างไม่ไม่วันกลับ ท่านเศร้าเสียใจอย่างมากจนถึงขั้นสติหลุดไม่รู้เนื้อรู้ตัว เรียกได้ว่าแทบบ้าก็ว่าได้ในตอนนั้นจิตใจสับสนไปหมดด้วยความโศกเศร้าจากเรื่องราวดังกล่าว #จึงทำไห้ท่านเกิดดวงตาเห็นธรรมว่า ทำไมหนอใจเราถึงได้เศร้าได้ทุกข์ขนาดนี้#ท่านจึงตัดสินใจ ออกบวชอีกครั้งที่วัดถุ้ำนิรภัย (คีรีล้อม) จ.นครสวรรค์ ในปี2536ซึ่งการออกบวชในครั้งนี้หลวงปู่มุ่งมั่นจะดับความทุกข์ในใจของตัวเองไห้จงได้ ท่านจึงได้ออกธุธงค์ ฝึกจิต นั่งกรรมฐานตามสายหลวงปู่ฤๅษีลิงดำ ปฏิบัติเรื่อยมาจนแตกฉานในธรรม ไปเรื่อยๆไม่อยู่ที่ไหนนาน อยู่ที่นั่น1พรรษา2พรรษา ก็ออกเดินธุดงธ์ต่อไปเรื่อยๆแบบไม่มีจดหมายปลายทางเที่ยวจาริกธุดงค์ ไปตลอด ตั้งแต่ภาคเหนือจรดใต้ ไปถึงพม่า กัมพูชา ลาว นับได้ว่าท่านไปมาทั่วแล้ว#เมื่อปี2539ท่านมาจำพรรษาที่วัดสุทธิยาวนารามบ้านคูตัน จำพรรษาอยู่ที่นี่2พรรษากว่า. จากนั้นเมื่อปีพศ.2541-42ท่านเห็นว่าวัดป่าหลักชัยไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่. บ้านหมอนเจริญ ต.กาบเชิง อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์#มีวัดนี้ที่หลวงปู่จำพรรษาอยู่นานมาก และได้พัฒนาจนเจริญรุ่งเรืองและสร้างพระพุทธรูปใหญ่องค์ปฐมหน้าตักร่วม6-9เมตร อยู่หน้าวัดป่าหลักชัย#เพราะในการเที่ยวธุดงค์ของท่านไม่ได้มุ่งปฏิบัติกรรมฐานเพียงอย่างเดียว แต่ทุกที่ที่ท่านไปท่านจะไปช่วยบูรณะวัดวาอารามตรงนั้นทุกที่ไม่มากก็น้อย#และช่วงนี้เองลูกศิษย์ลูกหาจากทั่วสารทิศมาสักเลขเสกยันต์มีชื่อเสียงโด่งดังมากดูดวงแม่นเหมือนตาเห็น ท่านใดที่มาบนบานสารกล่าวต่างๆไม่ผิดหลังเลยสักราย และเรื่องสอนกรรมฐานฝึกมโนมยิทธิ ท่านแตกฉานมากเรื่องนี้ ลูกศิษย์และชาวบ้านอ.กาบเชิงจะทราบดี #และท่านก็ได้สร้างวัตถุมงคลมาจำนวนหนึ่งเริ่มทำตั้งแต่ปี49ส่วนมากจะแจกหรือให้ทำบุญในงานไหว้ครู ซึ่งมีลูกศิษย์ทางกรุงเทพนำบล๊อกมาถวายให้หลายพิมพ์ด้วยกัน....พอฉลองสมโภชพระองค์ใหญ่หลักชัยเสร็จ #เมื่อปีพศ.2555ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนหลวงปู่สมัยท่านธุดงธ์จากวัดป่าหลักชัยโดยไม่ใยดีปล่อยให้ชาวบ้านห่วงหาอาลัยตามหาหลวงปู่ว่าท่านไปไหน..พอมารู้อีกทีท่านธุดงธ์ไปอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดศรีสะเกษ วัดโคกแก้ว อ.ขุขันธ์ุอยู่ได้3พรรษากว่าๆท่านก็ธุดงธ์กลับมาสุรินทร์อีกครั้งที่วัดธาตุโบราณ อ.สังขะ 1พรรษา ต่อจากนั้นก็ธุดงด์ไปภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย ส่วนมากหลวงปู่ท่านจะไม่ชอบอยู่กับที่ พอคนเยอะๆท่านก็จะไม่อยู่ท่านชอบอยู่ปฏิบัติกรรมฐานตามป่าเขาลำเนาไฟรเป็นแบบนี้เรื่อยมา....#พอมาปี2561เมื่อต้นปีชาวบ้านและลูกศิษย์ชาวจังหวัดสุรินทร์ดีใจมาก ที่หลวงปู่สมัยท่านจะกลับมาอยู่สุริทร์อีกครั้ง และท่านก็มาจริงๆครับ
หลวงปู่สมัย สิริปัญโญ นับได้ว่าเป็นพระที่มีปฏิปทาสูงส่งอีกรูปหนึ่ง ท่านเพียรปฏิบัติกรรมฐานทุกวันทุกเวลาไม่เคยหยุดแม้แต่สังขารท่านไม่อำนวยในช่วงหลังๆมานี้ สังขารของท่านเริ่มโรยราลงไปมาก มีโรคภัยมากมายมาทับถมท่านบอกมันเป็นกรรมเก่าถึงเวลาของเขา #แต่การปฏิบัติของท่านก็ไม่หย่อนลงไปแม้แต่น้อย จนถึงปัจจุบันนี้#พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เราหยุดอยู่แค่เรื่องศรัทธาเท่านั้นศรัทธาความเชื่อเอามาใช้ในตอนต้นเท่านั้น หลวงปู่ท่านบอกว่าให้ใช้ประโยชน์จาก..ศรัทธาให้เต็มที่ คือ..ฝึกฝนตนเองจนกระทั่งเห็นจริงอย่างที่ฟังครูบาอาจารย์สอนมา ให้พระรัตนตรัย #เป็นกัลยาณมิตร เป็นกำลังใจสำหรับการเดินก้าวไป หากยังไม่รู้ให้มาถาม ให้มาฟัง ศึกษาให้เข้าใจ #จะได้เป็นแผนที่ในการเดินทางดำเนินชีวิต หากเราเดินออกไปเผชิญโลกกว้างแล้วรู้สึกเหนื่อยอ่อนล่าหมดแรงให้เรานึกถึงครูบาอาจารย์ เพื่อให้มีกำลังใจเดินต่อไป #หลวงปู่บอกว่าคนส่วนใหญ่ มีพระรัตนตรัยครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง แค่นี้เราก็สบายแล้ว จะได้ไม่ต้องทำอะไรอีก มีหลวงพ่อหลวงปู่เป็นที่พึ่งแล้วอยู่เฉยๆ.คนส่วนมากคิดแบบนี้ #เพราะเราชอบพึ่งคนอื่น พอพึ่งคนอื่นได้เราก็สบายใจไม่คิดจะทำอะไร #มันประมาทเกินไปนะ....
#พระผู้มีวัตรปฏิบัติเคร่งครัดปฏิปทาน่าเสื่อมใสมาก หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าก่อนหน้านี้ท่านมีโรคมากมายแม้แต่โรคไตที่ต้องไปฟอกทุกอาทิตย์ไหนจะความดันและเบาหวาน หนักเข้าไปอีกโรคหัวใจ ยังมาถามหาเรียกได้ว่าวันละโรคเลยก็ว่าได้ท่านทนโรคเหล่านี้ไม่ไหวท่านบอกมาตายที่สุรินทร์บ้านเกิดดีกว่า ท่านบอกว่าร่างกายไม่ไหวโรคมันเยอะ #หมอบอกให้ทำใจ ลูกศิษย์ลูกหลานท่านทราบดี เรื่องนี้ แต่..อยู่ๆหลวงปู่ท่านกลับแข็งแรงผิดปกติหมอนัดให้ไปตรวจกลับไม่เจอโรคไตหัวใจปกติความดันไม่มีเบาหวานหายไป.เป็นที่น่าแปลกใจมาก. #ท่านเล่าให้ฟังว่ายังไม่หมดอายุไขมันยังไม่ถึงเวลาเขามาส่งคืนพอผู้ฟังได้ยินได้แต่งงๆ..แต่ก็ไม่กล้าถาม..
#มีคนสงสัยเคยมาถามท่านว่าวัตถุมงคลของท่านทำมาตั้งแต่ตอนไหน..ท่านบอกทำไปเรื่อยๆทำไว้แจกลูกศิษย์..ไม่ได้โฆษณาแต่อย่างใด. เพราะของดีไม่ต้องไปโฆษณา. ให้คนเอาไปใช้เขาจะได้รู้เอง..อัตมาตั้งใจทำมากับมือต่อไปจะหายาก #อัตมาทำเครื่องรางของขลังมาเรื่อยๆตั้งแต่ปี 2536 แต่ไม่เคยประกาศให้ใครรู้มีแต่บอกต่อกัน ถ้าไม่มีดีคงไม่สร้าง "วัตถุมงคลทุกอย่างที่อัตมาสร้างจะไม่มีวัดเสื่อมอัตมามั่นใจ " เมื่อปี2557ที่อ.ขุขันธ์ หลวงปู่ท่านไปเข้ากรรมปฏิบัติเข้านิโรธ7วันเต็มๆท่านเล่าบอกว่าอารมณ์ตอนนั้นเหมือนเราอยู่ในเมืองๆหนึ่งไม่ร้อนไม่หนาวอากาศกำลังดีไม่มีความหิวไม่ทรมารแต่อย่างใด...#หลังจากท่านกลับมาที่วัดตรงกับวันโกนพอดี มีลูกศิษย์3รูปปกติจะปลงผมให้ท่านแต่วันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นลูกศิษย์ พระ3รูปมองหน้ากันผลออกมาคือมีดโกนไม่สามารถทำอะไรผมของหลวงปู่ได้เลย...ขนาด วนกันทั้ง3รูปแล้วยังโกนไม่ได้ หนึ่งในนั้นก็มี.อ.ถนอม อ.เฉลิม อ.ศักดิ์..#จนในที่สุดหลวงปู่ท่านบอกให้ไปเย็บกรวยทำขัน๕มาขึ้นถึงปลงผมได้...อีกเรื่องราวของท่านที่แปลกเหลือเชื่อ..แต่จริง...
“เรื่องเขี้ยวแก้ว “ นับว่าเป็นของกายสิทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเฉพาะผู้มีบุญวาสนาบารมีสูงเท่านั้น ซึ่งเขี้ยวแก้วนี้มีมาแต่เกิด....ประวัติบางตอนของหลวงปู่สมัยครับ....สาธุๆเชิญทุกท่านเข้ากราบขอพรท่านได้ที่..ที่พักสงฆ์สิริปัญโญ ใกล้วัดป่าสุทธิยาวนาราม ต.คูตัน จ.สุรินท#นับได้ว่าปู่สมัยท่านเป็นพระสงฆ์ปฏิบัตดีปฏิบัติชอบอีกรูปที่กราบได้อย่างสนิทใจโดยแท้...."ปูชาจะปูชะนียานัง เอตัมมังคะละมุตตะมันต"ิบูชาผู้ควรถูกบูชา ถือได้ว่าเป็นมงคลอันสูงสุด